กระทรวงพาณิชย์โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเล็งเห็นถึงความสำคัญของการขยายตลาดผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ เนื่องจากตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ถือเป็นตลาดใหญ่ ซึ่งจากผลสำรวจมูลค่า อีคอมเมิร์ซไทยในปี 2560 มีมูลค่าสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท โดยจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งช่องทางหลัก ที่ประชาชนหันมาเลือกใช้บริการ และให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก รัฐบาลจึงมีแนวทางที่จะผลักดันให้ผู้ประกอบการเศรษฐกิจฐานรากใช้ประโยชน์จากจุดนี้ เพื่อนำสินค้าและบริการให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด จึงมีกำหนดจัดงาน “Offline 2 Online Expo 2018” ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายน 2561 ณ เวสต์เกตฮอลล์ ฮอลล์ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต เพื่อให้ผู้ที่สนใจซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการที่ผ่านการพัฒนาเข้าสู่ช่องทางออนไลน์ โดยมีกิจกรรมการขายสินค้าจากผู้ประกอบการ กิจกรรม Learn and Share การเล่นเกมลุ้นรับของรางวัล และกิจกรรมอื่นๆ ภายในงานอีกมากมาย

นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า สำหรับกิจกรรม Offline 2 Online Expo ที่จัดขึ้นครั้งนี้ เป็นความตั้งใจของกระทรวงพาณิชย์ที่จะพัฒนาช่องทางการค้าออนไลน์และส่งเสริมผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ช่องทางการตลาดออนไลน์ให้ถูกระบบมากยิ่งขึ้น และใช้เครื่องหมาย DBD Registered สร้างการมีตัวตนของผู้ขายสินค้าผ่านออนไลน์ เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ โดยที่ผ่านมาได้กำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือกผู้ประกอบการไทยจากกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้ กลุ่ม OTOP, กลุ่ม Organic, กลุ่ม Halal, กลุ่ม GI, กลุ่ม Biz Club ของกระทรวงพาณิชย์ และกลุ่มผู้ประกอบการที่ผ่านการพัฒนาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจำนวนไม่น้อยกว่า 1,500 ราย เพื่อร่วมพัฒนาร้านค้าเข้าสู่ช่องทางการตลาดออนไลน์ให้สามารถพร้อมให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง

โดยภายในงานวันนี้มีกิจกรรม Meet & Greet กับศิลปิน คุณเวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ ซึ่งมาร่วมร้องเพลง 2 เพลงให้แฟนคลับและผู้คนที่มาร่วมงาน คุณเวียร์กล่าวว่า ก่อนหน้านั้นคิดว่าแค่ขายของแค่หน้าร้านก็น่าจะเพียงพอ แต่ในโลกปัจจุบันขายของเพียงหน้าร้านอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าการซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มีทั้งความสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางให้รถติด แดดร้อน ดังนั้นการเริ่มต้นขายสินค้าทางออนไลน์ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในปัจจุบัน

“การจัดงานแสดงสินค้า “Offline 2 Online Expo ในครั้งนี้ จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับ ‘SMEs หรือคนตัวเล็ก’ ที่มีอยู่ถึงร้อยละ 95 ของผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ ถือเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย และส่งเสริม ‘เศรษฐกิจฐานราก (Local Economy)’ อันเป็นระบบเศรษฐกิจหลักของประเทศเช่นกัน รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถและขยายช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชน สร้างการกระจายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนได้โดยสะดวก สร้างรายได้และเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ชุมชน อีกทั้งยังสนับสนุนการสร้างค่านิยมและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมอีกด้วย”