“โจ้ สปอตไลท์ ” ผวาข่าว รอง.จ ส่งมือปืนเด็ดชีวิตสตง.สงขลา ตรวจพบนายเวร รองโอ๋ พัวพันทุจริต

 

(14 พ.ย.2560 จ.ภูเก็ต)เจ้าของเพจดัง Spotlight Phuket “โจ้ สปอตไลท์ ภูเก็ต” ตัดพ้อไลฟ์สดผ่านหน้าเพจกรณีได้รับข้อมูลว่าจะโดนลอบยิง รู้ตัวถึงตำรวจจ้างวาน และซุ้มมือปืน เผยอักษรย่อ รอง จ.ต้องการจบชีวิตตนเอง ด้านกองบังคับการตำรวจภูธรสงขลา สตง. พบหลักฐาน เอาผิดอดีตนายเวรตำรวจหญิง รองโอ๋ กฤษกร ชะตาตกตรวจสอบพบหลักฐานทุจริตเบิกเงินเสี่ยงภัยเท็จ สั่งต้นสังกัดตั้งกรรมการสอบ ฟันวินัยหนัก โทษไล่ออก สดๆ ร้อน ระอุพื้นที่ภูเก็ตอย่างต่อเนื่องหลังจากนายธรรมรัตน์ สุวรรณโพธิศรี หรือ “โจ้ สปอตไลท์” เจ้าของเพจชื่อดัง “สปอตไลท์ ภูเก็ต”ออกมาแฉส่วยภูเก็ต100 ล้านต่อเดือน จนสะเทือนวงการตำรวจไทย ส่งผลให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สั่งสอบ-ย้ายตำรวจในพื้นที่ พร้อมมอบหมายจเรตำรวจตั้งคณะกรรมการสอบตำรวจชุดใหญ่ “โจ้ สปอตไลท์” เผยได้รับข้อมูลวงในว่า มีตำรวจที่เสียหายติดต่อมือปืนจากซุ้มนครศรีธรรมราชมาเพื่อมาลอบสังหารตนเอง บอกใบ้สื่อแฉชื่อย่อ รอง จ. สุดท้ายวอนผู้ประกอบการที่โดนเรียกส่วยมาผนึกกำลังกันยื่นหลักฐานให้จเรตำรวจ เรียกร้องให้เกิด “พนักงานสอบสวนภาคประชาชน” ร่วมเป็นคณะกรรมการตรวจสอบตำรวจที่โดนคดีนี้ เปิด “สมุดคดี” ของตำรวจร่วมกัน โดยนายโจ้ สปอตไลท์ แฉข้อมูลในเพจสปอตไลท์ ภูเก็ต อย่างละเอียดกรณีข่าวรั่วเรื่องมีนายตำรวจที่เสียหายจากเรื่องส่วย ต้องการปลิดชีวิตของตนเองว่า “มีข่าวรั่วออกมาว่า มีนายตำรวจที่เสียหาย เริ่มติดต่อซุ้มมือปืนจากนครศรีธรรมราชให้มาลอบยิงตนที่รู้เรื่องนี้เพราะว่า มีข่าวรั่วจากกลุ่มตำรวจด้วยกันเอง อยากบอกถึงท่านรอง จ.ว่าไปหามือปืนมายิงผมแล้วอนาคตในหน้าที่การงานของท่านจะสดใสหรือได้เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างนั้นหรือ ทำไมคนทำในสิ่งที่ถูกต้อง รักษาผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่และของประเทศชาติ ต้องโดนกำจัดตนเองไม่ได้อยากมีศัตรู แค่ทำเรื่องที่ถูกต้อง อยากให้มือปืนหันกระบอกปืนไปทางพวกโกงชาติ ทำลายบ้านเมืองดีกว่า

ย้ำตนทำหน้าที่ของประชาชนคนธรรมดา ไม่มีผลได้เสียใดๆ” ล่าสุดอนายโจ้ ได้ออกมากระตุ้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง.ผบ.ตร ขอให้มีพนักงานสอบสวนภาคประชาชน มาตรวจสอบตำรวจที่ทำผิด โดยเฉพาะร่วมตรวจ “สมุดคดี” เรื่องชาวต่างชาติที่หลบหนีเข้าเมือง อยู่เกินกำหนดเวลา ที่แต่ละ สภ.ในจังหวัดภูเก็ต ส่งจำนวนเท็จไปให้คณะกรรมการตรวจสอบ “อยากให้ท่านศรีวราห์ เข้มงวดเรื่องนี้อย่างจริงจัง แหล่งรายได้ของตำรวจหลักๆ ก็มาจากตรงนื้คือเรียกรับส่วยจากคนพวกนี้แลกค่าเล่มพาสปอร์ต ราคา 1-2 หมื่นต่อหัว ตำรวจแต่ละ สภ.สร้างตัวเลขปลอมๆ ส่งให้ท่านตรวจสอบ จึงอยากเรียกร้องให้มีตำรวจภาคประชาชนได้ร่วมตรวจสอบคัดกรองการทำงานของตำรวจกลุ่มนี้ด้วย และที่สำคัญคดีความเรื่องส่วยตอนนี้คืบหน้าไปมาก ก็อยากให้พี่ๆ ผู้เสียหายที่เป็นผู้ประกอบการใน จ.ภูเก็ต โดยเฉพาะพื้นทีป่าตอง ได้นำหลักฐานออกมาให้คณะจเรตำรวจด้วย พวกเราทำแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด ซึ่งตอนนี้ทาง สตช.เปิดทางให้เราประชาชนได้มีโอกาสตรงนี้แล้วด้วย” “สำหรับตนเองตอนนี้ก็ระวังตัวมากขึ้น อยู่ในที่ที่ควรอยู่ถามว่ากลัวหรือไม่ กลัวสิครับ แต่เลือกแล้วที่จะทำก็ต้องทำต่อไป และสุดท้ายอยากเรียนให้ท่านรอง จ. ทราบว่า ที่ท่านคิดว่าจะยิงผมแล้วคิดว่ามันจะจบ ผมว่าท่านคิดผิด เพราะว่าตอนนี้เมล็ดพันธุ์ความกล้าที่ผมปลูกไว้และมอบให้กับประชาชน นั้นเติบโตแข็งแกร่งพอแล้ว และตอนนี้ทุกคนกำลังเดินเข้าสู่กระบวนการที่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง” โจ้ สปอตไลท์ กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายธรรมรัตน์ สุวรรณโพธิศรี หรือ “โจ้ สปอตไลท์” ออกมาแฉพฤติกรรมสุดฉาวเรื่อง “ส่วย” ของตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ต กระหึ่มไปทั่วทุกสื่ออย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้การรับส่วยหยุดชะงักไปชั่วคราวแต่ก็ไม่ได้ทำให้ตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ตสะเทือน ทำที “คืนตั๋ว” ไม่รับส่วย และหยุดทีม”หมานาย” ที่ออกล่ารายได้ ดิ้นไปหากินทางอื่นใช้อำนาจเกินหน้าที่ “ทุบ” ผู้ประกอบการสถานบันเทิง เข้าปรับ/จับหากเปิดเกินเวลา ระส่ำกันไปทั่วภูเก็ตโดยเฉพาะ อ.ป่าตอง ล่าสุดผู้ประกอบการสถานบันเทิงร้องเรียนผ่าน “สปอตไลท์ ภูเก็ต” ว่าตำรวจท่องเที่ยวเลือกปฎิบัติทำเมินพวกไกด์เถื่อน เคาน์เตอร์ทัวร์เถื่อน รวมถึงชาวต่างชาติที่อยู่อย่างผิดกฎหมาย โดยเฉพาะไกด์จีน รัสเซีย และธุรกิจทัวร์จีนผิดกฎหมายที่ตำรวจท่องเที่ยวสอดไส้ร่วมหุ้น ยกหุ้นส่วนชาวจีนให้ดูยิ่งใหญ่คับภูเก็ต ชื่อ”อาหลง” อาผิง” และอื่นๆ ที่ทำให้ตำรวจเหยียบหัวคนไทยแบบแทบจะจมแผ่นดิน ผู้ประกอบการไทยและต่างชาติที่ทำมาหากินอย่างถูกต้อง สุดทน เตรียมงัดหลักฐานโชว์ทั้งเรื่องส่วย และการเป็นนอมินีของตำรวจท่องเที่ยวภูเก็ตแบบมัดต่อหมัด ด้านแหล่งข่าวที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในภูเก็ต ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “หากลองเข้าไปสืบค้นข้อมูลดูจะพบว่าธุรกิจทัวร์ โดยเฉพาะทัวร์ชาวจีน จะมีกลุ่มตำรวจท่องเที่ยวเข้าไปมีส่วนในการถือหุ้น แบบที่รู้ๆ กัน คือ เจ้าของก็ทำไป ตำรจท่องเที่ยวก็คุ้มครองให้ จ่ายค่าตอบแทน อะไรที่ผิดก็ทำเป็นมองไม่เห็น ตัวเลขที่ตำรวจท่องเที่ยวมีเอี่ยวเป็นจำนวนหลายล้านต่อเดือน ไหนจะไกด์เถื่อน เคาน์เตอร์ทัวร์เถื่อน ฯลฯ มากไปกว่านั้นลามไปถึงกระบวนการล้มล้างธุรกิจคู่แข่งที่เป็นของคนไทย ทำให้เสียหาย ดำเนินธุรกิจไม่ได้ สร้างหลักฐานเท็จ ดองคดี ไม่มีอะไรที่ตำรวจท่องเที่ยวทำไม่ได้จริงๆเราในฐานะคนไทยจึงเอือมระอาพฤติกรรมแบบนี้ ก็ได้ทำการร้องเรียน สร้างแรงกระเพื่อมให้แข็งแรง นำไปสู่การเด้งตำรวจไม่ดีออกจากพื้นที่ภูเก็ต ผู้ประกอบการและประชาชนที่เดือดร้อนยังมีอะไรเด็ดๆ ออกมาตลอด ก็ฝากความหวังและขอให้เพจ Spotlight Phuket และสื่อมวลชนอื่นๆ โดยเฉพาะสื่อหลักในพื้นที่ช่วยกันด้วย” ผู้สื่อข่าวรายบงานต่อไปว่า สำนักงานตรวจสอบเงินแผ่นดิน เจ้าหน้าที่ สตง’ ได้สอบสวนกรณีที่ ร.ต.อ.วัชรินทร์ เบญจทศวรรษ ร้องเรียนยื่นเรื่องป.ป.ช.และ สตง.สงขลา ตรวจสอบการทุจริตเบิกจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงเสี่ยงภัยรายเดือน และเงินสปพ.สำหรับข้าราชการที่ปฎิบัติงานประจำ สำนักงานในพื้นที่พิเศษ ตามมติครม.เดือนละ 2,500บาท ที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยจริง แต่ได้รับอภิสิทธิ์มากมายกว่ าขรก.ตร.ที่อยู่ในพื้นที่จริง และถูกนำเสนอทางสื่อโทรทัศน์ Thal pbs มาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่สะใจและดีใจที่ของ ขรก.ตร.ในพื้นที่กรณีนายตำรวจชื่อดัง ได้ออกมายื่นเรื่อง ร้องเรียนตรวจสอบการทุจริตเงินแผ่นดิน ของตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ระหว่างปี 2558-2560 โดยเป็นการบริหารราชการของ พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ และ พล.ต.ต.ปรีดา เปี่ยมวารี ในตำแหน่ง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ล่าสุด ผู้สื่อข่าว ได้รับรายงานว่า สตง.สงขลา ได้ตรวจสอบพยานหลักฐาน พบการเชื่อมโยงเส้นทางการทุจริตและได้รับเอกสารจำนวนมาก จึงมีคำสั่งให้ ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ดำเนินการตั้งกรรมการสอบวินัย เพื่อเอาผิด ร.ต.อ.หญิงสิริธร พุ่มมรดก อดีต นายเวรหญิงคู่ใจ รองโอ๋ พล.ต.ต.กฤษกร แล้ว เมื่อประมาณปลายเดือนที่ผ่านมา โดนเป็นการสั่งการไปตามอำนาจหน้าที่ แก่ผู้ถูกตรวจสอบในเบื้องต้น ที่มีหลักฐานชี้ชัด แม้เจ้าตัวจะทำการคืนเงินแก่ต้นสังกัดไปแล้วเบื้องต้น จำนวน 6 เดือน แต่จากการตรวจสอบทราบว่า เจ้าหน้าที่ สตง.ได้ลงพื้นที่ตรวจย้อนหลัง ไปยัง สภ.ควนมีด สภ.จะนะ ตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค2 หลังพบหลักฐานการเบิกจ่ายเป็นเท็จ เกี่ยวกับเงินที่เบิกจ่ายไปแล้วเป็นจำนวนมาก ของตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ห้วงปี 2558-2560 สำหรับการทุจริตเบิกเงินค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะเดินทางและเงินอื่นในทำนองเดียวกันนั้น ได้มีมติครม.สั่งการไปยัง สำนักงานข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. และทุกหน่วยงานราชการ ให้รับทราบและถือปฎิบัติอย่างเคร่งครัด ในกรณีดังกล่าวไว้ตาม หนังสือ ที่ สร 0905/ว.6 ลง 28 พ.ค.2533 กรณี ขรก.ผู้ใดกระทำผิดเกี่ยวกับการทุจริตและเบิกจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นเท็จ และเงินอื่นในทำนองเดียวกัน ในฐานความผิดทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ไว้เด็ดขาด โดยให้ลงโทษไล่ออกจากราชการ จะปราณีลดหย่อนได้ก็เพียง ปลดออกจากราชการเท่านั้น ซึ่งนับเป็นบทลงโทษที่หนัก ทั้งวินัย และอาญาแก่ผู้ทุจริตเงินแผ่นดิน ในครั้งนี้ นับจากนี้ไป ก็คงรอเวลา การดำเนินการต่อเนื่อง ของ ป.ป.ช.อีกครั้ง หลังจาก สตง.ดำเนินการส่งเรื่องผลการสืบสวนไปเพื่อตรวจสอบ เพื่อพิจารณาเปิดการไต่สวน แจ้งข้อกล่าวหา แก่ 2 นายพลตำรวจใหญ่ อดีต ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ที่มีชื่อเป็นผู้อนุมัติสั่งการเบิกจ่าย และรู้เห็นร่วมทุจริตเบิกจ่ายให้แก่ นายตำรวจหญิงรายดังกล่าว และมี ขรก.ตร.สงขลา อีกมากมายเกือบยก กองบังคับการกันเลยทีเดียว ที่มีชื่อถูกตรวจสอบและมีพยานหลักฐานชัดเจน ในการร่วมกันทุจริตเงินแผ่นดินในครั้งนี้ ซึ่งมีมูลค่า หลายสิบล้านบาทเลยทีเดียว นับเป็นปรากฎการณ์ที่ต้องจับตามองว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน จะสามารถกำจัดการทุจริตเงินแผ่นดินของที่นับวันมีแต่ข่าวด้านลบภายใต้การกุมบังเหียน ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.จะผจญฝันฝ่ามรสุมลูกนี้ได้หรือไม่ หรือจะถอดใจไขก๊อก ลาออก รับตำแหน่ง รมต.ใน ครม.5 ของนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อเปิดทางให้บิ๊กปู พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.อาวุโส อันดับ 2 ขึ้นกุมบังเหียน ตามสัญญาใจที่ตกลงกันไว้ หรือไม่ หลังจากไม่อาจต้านทานในวีรกรรมและผลงานของ 2 นายพลตำรวจผู้ยิ่งใหญ่ โอ๋ และโจ๊ก พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ และ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ดังกระหึ่ม เป็นที่เอือมระอา ส่ายหน้าแก่ประชาชน และตำรวจทั่วประเทศอยู่ในเวลานี้